🟡🔴เนื่องใน “วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ปี 2567🔻

🔺️วันที่ 25 เมษายน 2567 เวลา 09:00ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์ราชการจังหวัดกำแพงเพชร ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร รัฐพิธีเนื่องใน “วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ปี 2567 จังหวัดกำแพงเพชร

✴️โดยมีนายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีฯ ทั้งนี้ มีนางสาวสุพัตรา คล้ายทิม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร/ นายอนุชา พัสถาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร/ นายกองเอกชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ ปลัดจังหวัดกำแพงเพชร/ คุณกาญจนี รุจนเสรี นายกกาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมคณะฯ/ ศาล อัยการ ตุลาการ ทหาร ตำรวจ/ โรงพยาบาลกำแพงเพชร/องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น/ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ/ ภาคเอกชน และสื่อมวลชนจังหวัดกำแพงเพชร เข้าร่วมรัฐพิธีฯ

✡️นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร กล่าวถวายราชสดุดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทน์ เมื่อปีพุทธศักราช 2098 พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างล้ำเลิศ มีพระอัจฉริยภาพและฝีพระหัตถ์ ในทางการรบและเชี่ยวชาญในอาวุธทุกชนิด ทรงตรากตรำพระวรกายในการทำศึกสงคราม ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยมิได้ว่างเว้น ในปีพุทธศักราช 2124 ทรงแสดงแสนยานุภาพในการยกทัพเข้าตีเมืองคัง ที่ตั้งอยู่บนเขาสูง และได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย จนถึงปีพุทธศักราช 2127 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงว่า ตั้งแต่วันนี้กรุงศรีอยุธยา ขาดทางไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรกัน ดังแต่ก่อนต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการประกาศอิสรภาพของไทย หลังจากประกาศอิสรภาพแล้ว ก็ได้กรีฑาทัพเข้าสู่ชานเมืองหงสาวดี และรวบรวมคนไทยกลับมาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้พระแสงปืนยาวยิงข้ามแม่น้ำสะโตง ยิงถูกแม่ทัพของพม่าที่ติดตามมาเสียชีวิต ทำให้ทัพพม่าถอยกลับไป และพระแสงปืนที่ทรงใช้วนนั้น ได้ปรากฏนามว่า “พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง” ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่จัดอยู่ในพระแสงอัษสฏาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค สำหรับพระมหากษัตริย์ สืบจากจนบัดนี้ ในปีพุทธศักราช 2129 พระเจ้านันทบุเรง ยกทัพใหญ่มาล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้ใช้วิจารณญาณอันล้ำเลิศ วางแผนป้องกันเมือง โดยการจัดกองโจรออกตัดการลำเลียงเสบียง และออกไปตีปล้นข้าศึก เพื่อมิให้ข้าศึกมีเวลาพักผ่อน พม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยา อยู่นานถึงห้าเดือน แต่ไม่สามารถเข้าตีได้ จึงล่าทัพกลับไป กรุงศรีอยุธยาว่างศึกได้เพียงสามปี จนล่วงถึงปีพุทธศักราช 2133 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขึ้นครองราชย์ พระเจ้านันทบุเรง จึงยกทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ทรงเปลี่ยนยุทธวิธีการรบ จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก โดยพระองค์ยกกองทัพออกไปตั้งรับ ที่ลำน้ำท่าคอย และหลอกล่อให้กองทักพม่า รุกไล่เข้าไปในวงล้อม ที่พรพระองค์วางทัพรออยู่ ซึ่งผลของการรบครั้งนั้น พระยาพุกามตายในที่รบ พระยาพะสิมถูกจับ ส่วนพระมหาอุปราชาถอยหนีไปในวันที่ 18 มกราคม ปีพุทธศักราช 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำสงครามยุทธหัตถีกับพระพระมหาอุปราชา จนได้รับชัยชนะ ทำให้พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาลไปทั่วปฐพี ในปีพุทธศักราช 2148 พระเจ้าอังวะมีอำนาจขึ้น จึงขยายอาณาเขต เข้ามาทางแคว้นไทยใหญ่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพไปยังเมืองห้างหลวง และทรงประชวรหนัก จนเสด็จสวรรคต เมื่อเดือน 6 ขึ้น 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2148 พระชนมายุ 50 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 15 ปี

⚛️แม้พระองค์ได้เสด็จสวรรคต มานาน 400 ปีแล้วก็ตาม พสกนิกรไทยทั้งมวล ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเกียรติคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงพระปรีชาสามารถ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ขับไล่อริราชศัตรูตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อสร้างความเป็นเอกราชให้แก่ชาติไทย ขออำนาจแห่งพระบารมีของพระองค์ ทรงปกป้องคุ้มครองประเทศไทย ขจัดสารพัดพิพิธภัย ให้สูญสิ้น พระราชทานพระเมตตาคุณ ให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้รับความสุขสวัสดิ์ กระทำภารกิจใดๆ สำเร็จลุล่วงตามความมุ่งหวังทุกประการเทอญฯ