🌷นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนกำแพงเพชรและคณะเข้าให้กำลังใจ นายก(อ๋า)นายสุวรรณ ศุภกิจเจริญ จากอาการป่วยเส้นเลือดหัวใจอุดตันจากแคลเซียม❤️

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ธ.ค.2566 นายเกชา เดชา นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนกำแพงเพชรและคณะเข้าให้กำลังใจนายสุวรรณ ศุภกิจเจริญ ที่บ้านพัก ต.สระแก้ว อ.เมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร

สืบเนื่องจากการที่นายสุวรรณ ศุภกิจเจริญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสระแก้ว ที่มีอาการป่วยเส้นเลือดหัวใจอุดตันจากแคลเซียมปริมาณ 4,000 ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงและอัตรายมาก แต่จากการที่ได้เข้าพบในครั้งนี้นายกสุวรรณพร้อมด้วยคุณสุดศิริ ศุภกิจเจริญบอกว่าอาการยังแข็งแรงดีและทางแพทย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลศิริราชได้นัดเข้าทำการรักษาในวันที่ 26 ธันวาคมนี้

และขอขอบคุณนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนกำแพงเพชรและคณะที่ได้มาให้กำลังใจในครั้งนี้ (ข้อมูลจากบทความของโรงพยาบาลเทพธารินทร์) เรารู้กันดีว่าแคลเซียมทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง แต่ถ้าแคลเซียมนั้นอยู่ที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ จะเป็นโทษถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ และนี่จึงเป็นเหตุให้การตรวจหาแคลเซียมหรือหินปูนในหลอดเลือดหัวใจเป็นเรื่องสำคัญ แคลเซียมไปอยู่ที่ผนังหลอดเลือดได้อย่างไร การที่เราพบแคลเซียมหรือหินปูนบนผนังหลอดเลือดหมายความว่าผนังหลอดเลือดหัวใจตรงจุดนั้น อาจเคยมีการอักเสบ หรือมีความเสื่อม ร่างกายเราจึงสร้างแคลเซียมขึ้นมาปกป้องจุดที่มีการอักเสบนั้นนอกจากนี้หินปูนยังมาพร้อมกับคราบไขมันที่เกาะผนังหลอดเลือด และสะสมมากขึ้นจนเส้นเลือดหัวใจตีบหรือตันได้ส่วนใหญ่เรามักพบแคลเซียมสะสมบนผนังหลอดเลือดในผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีไขมันในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน น้ำหนักเกิน เครียด ไม่ออกกำลังกาย หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจเมื่อแคลเซียมหรือหินปูนสะสมมากขึ้นในผนังหลอดเลือด จะทำให้หลอดเลือดตีบ ถ้ามีหินปูนเกาะที่ผนังมากขึ้น เลือดจะไหลผ่านจุดนั้นได้ช้าลงหรือในปริมาณน้อยลง เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดไม่พอ ก็จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจไม่สามารถบีบตัวเพื่อสูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ จึงทำให้หัวใจทำงานไม่ได้ และอาจทำให้หัวใจวายเฉียบพลัน มีแคลเซียมแค่ไหนจึงจะถือว่าอันตราย นอกจากจะตรวจหาไขมันในเลือดในการตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว เราควรตรวจหาแคลเซียมด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น อายุเกิน 45 ปี มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง น้ำหนักเกิน เป็นต้น แม้ว่าการเอกซเรย์ทรวงอกจะช่วยให้เห็นหัวใจและหลอดเลือดได้ แต่ไม่ชัดเจนเท่ากับการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง หรือที่เราคุ้นหูกันว่า ซีทีสแกน (CT Scan) เพื่อตรวจระดับแคลเซียมในหลอดเลือดหรือการหาค่า “แคลเซียม สกอร์” (Coronary calcium Score) เครื่อง CT Scan นี้ ทำงานได้รวดเร็ว และจะคำนวณค่าแคลเซียม สกอร์ ออกมาให้ได้เลย หากค่าเป็นศูนย์ (0) หมายถึงความเสี่ยงต่ำ โอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในช่วง 5 ปี จะมีน้อยมาก แต่ยิ่งค่าเพิ่มขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะหากค่าแคลเซียม สกอร์ สูงเกินกว่า 400 อาจหมายถึงว่าคุณมีเส้นเลือดตีบแล้ว รวมทั้งมีโอกาสหรือความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันใน 2-5 ปีข้างหน้า ค่าแคลเซียม สกอร์ ยังช่วยให้แพทย์บอกได้ว่าคุณมีความเสี่ยงหรือเริ่มมีเส้นเลือดหัวใจตีบแล้ว ทั้ง ๆ ที่คุณยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เช่น เหนื่อย หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก หรือวูบ เป็นต้น และการตรวจพบตั้งแต่แรกๆ เมื่อแคลเซียมยังสะสมไม่มาก จะช่วยให้แพทย์รักษาได้ง่ายขึ้น หรือคุณสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงได้ด้วยตัวคุณเอง โดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์

ภาพ/ข่าว ศรสิน อินทะชัย